แบตเตอรี่เริ่มมีอาการสตาร์ติดยาก
ไฟหน้าไม่ค่อยสว่าง
กระจกไฟฟ้าทำงานช้าลงการปกติ
ไฟรูปแบตเตอรี่หน้าปัดเรือนไมล์แสดงที่หน้าจอ
แบตเตอรี่เสื่อมสภาพ เกิดจาก 2 สาเหตุหลัก
แบตเตอรี่ไม่สามารถเก็บไฟได้อีกต่อไป หรือหมดอายุการใช้งาน
ไดชาร์จทำงานผิดปกติ (เสีย) ทำให้การจ่ายประจุไฟฟ้าไปยังแบตเตอรี่ได้น้อย ไม่เพียงพอต่อการใช้งาน
ปัจจัยอื่นที่มีผลต่อ การเสื่อมสภาพแบตเตอรี่
การจอดรถหรือไม่ได้สตาร์ทรถเป็นเวลานาน ๆ จะทำให้แบตเตอรี่
• เมื่อใดที่รถยนต์ของคุณไม่ได้ถูกใช้งาน จอดทิ้งไว้นาน ๆ โดยไม่สตาร์ทเครื่องยนต์เลย จะทำให้แบตเตอรี่รถยนต์ไม่ได้รับการชาร์จไฟจากเครื่องยนต์ จนส่งผลให้ แบตเตอรี่ มีพลังงานไฟฟ้าที่ลดลง และมีอายุการใช้งานที่ลดลงเร็วกว่าปกติ รู้อย่างนี้แล้วถึงแม้คุณจะไม่ได้ใช้รถ ก็อย่าลืมที่จะมาสตาร์ทรถขับบ้างอย่างน้อยสัปดาห์ละครั้ง เพื่อยืดอายุ แบตเตอรี่รถยนต์ ให้ใช้งานได้นานขึ้น
เลือกใช้แบตเตอรี่อย่างไร
1. รถที่ไม่มีการเพิ่มเติมอุปกรณ์ไฟฟ้าการเลือกใช้แบตเตอรี่แบบแห้งหรือแบบที่ไม่ต้องเติมน้ำกลั่นจะเป็นทางเลือกที่น่าสนใจกว่า โดยเฉพาะท่านที่ไม่ค่อยได้ดูแลรถบ่อยๆ หรือไม่ค่อยมีความรู้เรื่องรถมากนัก
2. รถที่มีการแต่งหรือเพิ่มเติมอุปกรณ์ไฟฟ้าเข้าไปภายหลังเช่นเครื่องเสียง-ไฟตัดหมอก-ขนาดไฟหน้าที่สว่างกว่าเดิม การเลือกใช้แบตฯ ธรรมดาที่เติมน้ำกลั่นจะดีกว่าเพราะการใช้อุปกรณ์ไฟฟ้าจำนวนมากในรถทำให้เกิดการประจุและการนำกระแสไปใช้งานนั้นจะมากและรุนแรงถ้าใช้แบตฯ แบบแห้งจะทำให้อายุงานของแบตฯ แห้งนั้นสั้นลงอย่างมาก
3. การเลือกใช้แบตฯ แห้งนั้นค่อนข้างจะเป็นเรื่องยุ่งยากพอสมควร เนื่องจากแต่ละยี่ห้อนั้นออกแบบแตกต่างกันไปในเรื่องซีลหรือระบบทางเดินเดียวของรูหายใจตลอดจนกระแสที่ใช้ในการชาร์จหรือประจุเข้าที่เหมาะสมกับแบตฯ ชนิดนี้คือการประจุแบบช้าจึงค่อนข้างมีปัญหาต่อการประจุเร็วและรุนแรงของรถที่ใช้อุปกรณ์ไฟฟ้าจำนวนมากๆ
4. ค่าความจุของแบตเตอรี่ ค่าที่เขียนติดมากับแบตเตอรี่จะเห็นเป็นตัวเลขและตัวอักษรเช่น 12V 60Ah หมายถึงแบตเตอรี่มีค่าแรงดัน 12 โวลต์ และมีค่าการปล่อยกระแสคงที่ 60 แอมแปร์-ชั่วโมง แต่โดยทั่วไปจะคิดกันที่ 20 ชั่วโมง หรือกระแสที่จ่ายคงที่ของแบตฯ ตัวนี้คือ 3 แอมแปร์ในเวลา 20 ชั่วโมง ส่วนมากแบตฯ ที่ติดรถมาจะมีค่าความจุที่ต่ำสุดที่เพียงพอต่อการใช้งานเท่านั้น ถ้ามีการเปลี่ยนแบตฯ ตัวใหม่ควรเพิ่มค่าให้มากกว่าเดิม 5-10Ah เช่นตัวเดิม 12V 60Ah ถ้าเปลี่ยนตัวใหม่ควรจะเป็น 12V 65Ah หรือ 12V 70Ah เป็นต้นเนื่องจากว่าเมื่ออายุงานรถมากขึ้นอุปกรณ์ต่างๆ เช่นสายไฟจะมีความเป็นตัวนำลดลงทำให้กระแสสูญเสียไปกับความร้อนที่เกิดขึ้นการเผื่อค่าการจ่ายกระแสมากขึ้นเพื่อป้องกันความเสียหายหรือเหตุการณ์ที่อาจเกิดจากกระแสไม่เพียงพอต่อการใช้งาน
5. ถ้าเป็นแบตฯ ที่ต้องเติมน้ำกลั่น ครั้งแรกที่ซื้อแบตฯ ใหม่ทางร้านจะเติมกรดและทำการประจุหรือชาร์จไฟให้แม้จะเป็นเรื่องที่ดีแต่การกระทำดังกล่าวบางครั้งก็ทำให้แบตฯ เสื่อมสภาพเร็วกว่าปกติ บางครั้งแค่ปีเดียวก็เสื่อมสภาพแล้วเนื่องจากการเติมกรดครั้งแรกควรจะทิ้งไว้ราว 1-2 ชั่วโมง ก่อนที่จะนำไปประจุหรือชาร์จไฟเพื่อให้แผ่นธาตุทำปฏิกิริยากับกรดอย่างเต็มที่ก่อน และการประจุหรือชาร์จไฟนั้นควรใช้แบบกระแสต่ำชาร์จนานๆ แต่ทางร้านส่วนใหญ่มักจะใช้กระแสสูงและชาร์จเร็วเพื่อลดเวลาและค่าใช้จ่าย ซึ่งถ้าเป็นลักษณะนี้แค่เติมกรดแล้วทิ้งไว้สองชั่วโมง จากนั้นนำมาติดตั้งในรถเพื่อใช้ไฟจากรถเป็นตัวประจุหรือชาร์จยังจะดีเสียกว่า
6. ควรเลือกซื้อแบตฯ ที่มีตาแมวหรือช่องสำหรับดูค่าความถ่วงจำเพาะหรือสถานะของแบตเตอรี่เพราะราคาก็แพงกว่าชนิดที่ไม่มีช่องดูไม่เท่าไร แต่ช่องตาแมวดังกล่าวสามารถบอกเราได้ว่าสถานะแบตเตอรี่ขณะนั้นเป็นอย่างไรเช่นไฟเต็ม-ไฟอ่อน-ต้องถอดไปประจุหรือไม่มีไฟ ถ้าเป็นแบบที่ไม่มีช่องดูเวลาเกิดปัญหาที่ต้องวิเคราะห์เกี่ยวกับระบบไฟจำต้องใช้เครื่องมือวัดค่าความถ่วงจำเพาะมาตรวจสอบซึ่งปัจจุบันไม่ค่อยมีร้านซ่อมซื้อมาใช้แต่อาจจะเหมาลอยๆ ได้เลยว่าแบตฯ เสียต้องเปลี่ยนแบตฯ แต่ถ้ามีตาแมวให้ดูเราสามารถแย้งได้เลยว่าแบตฯ ไฟเต็มจะว่าแบตฯ เสียนั้นไม่ใช่แน่ๆ
รถญี่ปุ่นขั้วลอย JIS
รถยุโรปขั้วจม DIN
เวลาซื้อแบตเตอรี่เพื่อทดแทนของเดิมที่ติดมากับรถ ต้องเลือกขนาด แอมแปร์เท่ากันหรือมากกว่าที่เคยติดมากับรถ
1 รถที่มีเครื่องขนาด 1300-1800cc ควรใช้แบตเตอรี่ขนาด 45 แอมป์ – 60 แอมป์
2 รถเครื่องยนต์ขนาด 2000cc-3000cc ควรใช้แบตเตอรี่ 75 แอมป์
3 รถกระบะ เครื่องยนต์ขนาด 2000cc-3000cc ให้ใช้แบตเตอรี่ขนาด 70 แอมป์– 90 แอมป์